dark mode light mode Search
Search

ไม่ต้องงงอีกต่อไป! คู่มือการขึ้นรถไฟในญี่ปุ่นฉบับสมบูรณ์ (พร้อมวิธีใช้บัตร Suica/ICOCA)

สวัสดีค่า!

หนึ่งในเรื่องที่นักท่องเที่ยวชาวไทยหลายคนกังวลที่สุดเมื่อวางแผนเที่ยวญี่ปุ่น… คงหนีไม่พ้น “วิธีการขึ้นรถไฟ” ใช่ไหมคะ?

พอเราคุ้นเคยกับรถไฟฟ้า BTS หรือ MRT ที่กรุงเทพฯ แล้วมาเห็นแผนที่รถไฟในโตเกียวหรือโอซาก้าที่ซับซ้อนเหมือนใยแมงมุม ก็อาจจะคิดในใจว่า “โอ้โห ไม่น่าจะรอด…” กันใช่ไหมคะ แต่ขอบอกเลยว่า สบายมาก ไม่ต้องกังวลค่ะ!

รถไฟญี่ปุ่นขึ้นชื่อว่าตรงเวลาที่สุดในโลก และสะดวกสบายมากไม่ว่าคุณจะเดินทางไปที่ไหน แค่จำกฎพื้นฐานไม่กี่ข้อ ก็สามารถเดินทางได้อย่างเซียนแน่นอน

ในบทความนี้ เราจะมาอธิบายทุกอย่างแบบละเอียดสุดๆ สำหรับคนที่ขึ้นรถไฟในญี่ปุ่นครั้งแรก ตั้งแต่วิธีการค้นหาเส้นทาง, การซื้อตั๋ว, วิธีการใช้บัตร IC สุดสะดวกอย่าง “Suica” หรือ “ICOCA” ไปจนถึงมารยาทบนรถไฟ รับรองว่าอ่านจบแล้ว คุณจะไม่หลงในสถานีอีกต่อไป มาใช้ระบบรถไฟสุดเจ๋งของญี่ปุ่นให้คล่อง แล้วสนุกกับการเดินทางที่แสนสบายกันเถอะค่ะ!

1. รู้จักรถไฟญี่ปุ่นฉบับพื้นฐาน! ทำไมถึงดูซับซ้อน?

ก่อนอื่นเลย ทำไมแผนที่รถไฟญี่ปุ่นถึงได้ซับซ้อนขนาดนั้น? คำตอบง่ายๆ ก็คือ เพราะมีบริษัทที่ให้บริการรถไฟอยู่หลายเจ้า ไม่ใช่เจ้าเดียว นั่นเองค่ะ

JR (Japan Railways)

เป็นกลุ่มบริษัทรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ และยังเป็นผู้ให้บริการรถไฟความเร็วสูงอย่างชินคันเซ็นที่เชื่อมระหว่างเมืองต่างๆ ด้วย สายรถไฟหลักๆ ในเมือง เช่น สายยามาโนเตะ (Yamanote Line) รถไฟสีเขียวในโตเกียว หรือสายโอซาก้า Loop Line (รถไฟสีส้ม) ก็เป็นของ JR ค่ะ

รถไฟเอกชน (私鉄 – Shitetsu)

คือบริษัทรถไฟเอกชนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ JR ในแถบคันโตก็จะมี Tokyu, Odakyu ส่วนแถบคันไซก็จะมี Hankyu, Kintetsu และอีกมากมายหลายเจ้า บริษัทเหล่านี้มักจะให้บริการในพื้นที่เฉพาะ และเส้นทางที่เชื่อมต่อไปยังสนามบินก็มักจะเป็นของบริษัทเอกชนค่ะ

รถไฟใต้ดิน (地下鉄 – Chikatetsu)

คือรถไฟที่วิ่งอยู่ใต้ดินในเมืองใหญ่ๆ เช่น “Tokyo Metro” และ “Toei Subway” ในโตเกียว หรือ “Osaka Metro” ในโอซาก้า

📌 Key Point: เวลาที่จะเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟของบริษัทอื่น บางครั้งคุณจำเป็นต้องเดินออกจาก “ประตูตรวจตั๋ว (改札口 – Kaisatsuguchi)” ของบริษัทหนึ่งก่อน แล้วค่อยเข้าไปในประตูตรวจตั๋วของอีกบริษัทหนึ่งใหม่ จุดนี้อาจจะทำให้สับสนเล็กน้อย แต่แค่สังเกตป้ายบอกทางให้ดี ก็ไม่มีปัญหาค่ะ

2. ขั้นตอนที่ 1: ค้นหาเส้นทางด้วยแอปสุดเทพ!

ลืมภาพการไปยืนเพ่งแผนที่ใหญ่ๆ ที่สถานีไปได้เลยค่ะ แค่ใช้แอปพลิเคชันในสมาร์ทโฟน คุณก็จะหาเส้นทางที่ดีที่สุดได้ในไม่กี่วินาที แอปที่คุ้นเคยกันดีและขอแนะนำมี 2 ตัวนี้ค่ะ

Google Maps

ง่ายและเห็นภาพชัดที่สุด แค่ใส่ตำแหน่งปัจจุบันและจุดหมายปลายทาง แอปจะแสดงเส้นทางที่เป็นไปได้หลายแบบ พร้อมทั้ง “เวลา”, “ราคา” และ “จำนวนครั้งที่ต้องเปลี่ยนสาย” แถมยังบอกด้วยว่าต้องไปขึ้นรถไฟที่ชานชาลา (Platform) หมายเลขอะไร ถือเป็นแอปที่นักท่องเที่ยวต้องมีติดเครื่องเลยค่ะ

Japan Transit Planner (Jorudan) / NAVITIME

เป็นแอปที่เชี่ยวชาญด้านการค้นหาเส้นทางรถไฟในญี่ปุ่นโดยเฉพาะ ให้ข้อมูลได้ละเอียดกว่า (เช่น บอกตำแหน่งของตู้รถไฟที่สะดวกที่สุดสำหรับการเปลี่ยนสาย) อาจจะดูซับซ้อนกว่านิดหน่อย แต่ข้อมูลแม่นยำมาก

จุดสำคัญที่ต้องดูในผลการค้นหา:

  • 所要時間 (เวลาที่ใช้): ใช้เวลากี่นาทีถึงที่หมาย
  • 運賃 (ค่าโดยสาร): ราคาเท่าไหร่
  • 路線名と行き先 (ชื่อสายรถไฟและปลายทาง): เช่น “JR Yamanote Line for Shibuya, Shinjuku”
  • ホームの番号 (หมายเลขชานชาลา): เช่น “Platform 3”

3. ขั้นตอนที่ 2: ซื้อตั๋ว หรือใช้บัตร IC? (สรุป: บัตร IC ชนะขาด!)

วิธีการผ่านประตูตรวจตั๋วมี 2 แบบ คือการซื้อ “ตั๋วกระดาษ (Kippu)” แบบดั้งเดิม และการใช้บัตร IC แตะผ่านเข้าไป

■ วิธีซื้อตั๋ว (แบบที่ค่อนข้างยุ่งยาก)

  1. มองหาป้ายแผนที่ขนาดใหญ่เหนือตู้ขายตั๋ว ค้นหาสถานีปลายทาง แล้วดูว่าค่าโดยสารราคาเท่าไหร่
  2. ที่หน้าจอของตู้ขายตั๋ว กดปุ่มจำนวนเงินตามนั้น
  3. ใส่เงินสด (ธนบัตรหรือเหรียญ) เข้าไป
  4. รับตั๋วและเงินทอน

บอกตามตรงว่าวิธีนี้ค่อนข้างลำบาก เพราะต้องคอยเช็คราคาค่าโดยสารทุกครั้ง และถ้านั่งรถเลยสถานี การจ่ายเงินส่วนต่างเพิ่มก็ยุ่งยาก ไม่ค่อยแนะนำสำหรับนักท่องเที่ยวเท่าไหร่ค่ะ

■ บัตร IC สำหรับเดินทาง (วิธีที่สะดวกสุดๆ!)

เหมือนกับบัตรแรบบิทในบ้านเราเลยค่ะ แค่เติมเงิน (Charge) เข้าไปในบัตรล่วงหน้า แล้วนำไป “แตะ” ที่ประตูตรวจตั๋ว ระบบก็จะหักค่าโดยสารโดยอัตโนมัติ แค่มีบัตรนี้ใบเดียว ก็ไม่ต้องเสียเวลาซื้อตั๋วอีกต่อไป!

ทำไมบัตร IC ถึงดีที่สุด?

  • ไม่ต้องเสียเวลาซื้อตั๋ว ทำให้การเปลี่ยนรถไฟสะดวกและรวดเร็ว
  • ใช้ได้กับรถไฟทุกเจ้า ทั้ง JR, เอกชน, รถไฟใต้ดิน หรือแม้แต่รถบัส (ใช้ได้เกือบทุกที่ทั่วประเทศ)
  • ใช้เป็นเงินอิเล็กทรอนิกส์สำหรับซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อ, ตู้ขายของอัตโนมัติ และร้านค้าอีกมากมายได้ด้วย!
  • เติมเงินแล้วใช้ซ้ำได้เรื่อยๆ

แล้วจะเลือกซื้อบัตร IC ใบไหนดี?

โดยพื้นฐานแล้วไม่ว่าจะซื้อบัตรจากภูมิภาคไหนก็สามารถนำไปใช้ได้ทั่วประเทศ แต่จะมีบัตรแบบพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะค่ะ

  • ถ้าซื้อที่โตเกียว/ภูมิภาคคันโต → Welcome Suica
    • โลโก้สีเขียวสดใส บัตรนี้ไม่ต้องเสียค่ามัดจำ (Deposit) 500 เยน และมีอายุการใช้งาน 28 วัน เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวระยะสั้นมาก
  • ถ้าซื้อที่โอซาก้า/ภูมิภาคคันไซ → ICOCA / Kansai One Pass
    • ICOCA เป็นบัตรแบบปกติ ส่วน Kansai One Pass เป็นบัตรพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะ ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ เช่น ส่วนลดตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในแถบคันไซด้วย

วิธีซื้อบัตร IC

สามารถซื้อได้ที่สถานี JR ในสนามบิน (นาริตะ, ฮาเนดะ, คันไซ) หรือที่ตู้ขายตั๋ว “Multi-function Ticket Machine” และ “JR Ticket Office (Midori-no-madoguchi)” ในสถานีใหญ่ๆ ตู้ขายตั๋วส่วนใหญ่สามารถเปลี่ยนภาษาเป็น “English” หรือบางครั้งมี “ภาษาไทย” ด้วย ไม่ต้องกังวลค่ะ

วิธีเติมเงิน (Charge)

เมื่อเงินในบัตรใกล้หมด สามารถเติมเงินได้ง่ายๆ ที่ตู้ขายตั๋วหรือ “ตู้เติมเงิน” ทุกสถานี หรือจะไปที่เคาน์เตอร์ร้านสะดวกซื้อแล้วบอกพนักงานว่า “Charge, please” (ชา-จิ โอะ-เนะ-ไก-ชิ-มัส) พร้อมยื่นเงินสดให้ เขาก็จะเติมให้ค่ะ ขั้นตอนที่ตู้ก็ง่ายๆ:

  1. สอดบัตร IC เข้าไปในช่อง
  2. กดปุ่ม “Charge” (หรือ チャージ)
  3. เลือกจำนวนเงินที่ต้องการเติม (1,000 เยน, 2,000 เยน ฯลฯ)
  4. ใส่เงินสด
  5. รับบัตรคืน เป็นอันเสร็จ!

4. ขั้นตอนที่ 3-4: ผ่านประตูตรวจตั๋ว ขึ้นและลงรถไฟ

เมื่อได้บัตร IC มาแล้ว ก็ถึงเวลาขึ้นรถไฟจริงๆ กันแล้วค่ะ!

การผ่านประตูตรวจตั๋ว:

หาบริเวณที่มีสัญลักษณ์ “IC” ซึ่งจะมีไฟสีฟ้าติดอยู่ แตะบัตรค้างไว้ประมาณ 1 วินาทีจนได้ยินเสียง “ปิ๊บ!” สำหรับตั๋วกระดาษ ให้สอดเข้าช่องรับตั๋ว และอย่าลืมหยิบตั๋วที่เด้งออกมาจากอีกฝั่งด้วยนะคะ

การหาชานชาลา:

มองหาป้ายบอกทางหรือจออิเล็กทรอนิกส์ในสถานี เช็คให้ดีว่า “ชื่อสายรถไฟ”, “ปลายทาง” และ “หมายเลขชานชาลา” ที่เราจะไปตรงกับในแอปหรือไม่ แล้วเดินไปตามหมายเลขชานชาลานั้นได้เลย สถานีญี่ปุ่นมีป้ายบอกทางละเอียดและชัดเจนมาก แค่เดินตามลูกศรไปก็ไม่หลงแล้วค่ะ

การรอรถไฟ:

ยืนรอหลังเส้นหรือตามเครื่องหมายบนพื้นชานชาลา โดยเข้าแถวเป็น 1 หรือ 2 แถว เมื่อรถไฟมาถึง ให้คนที่อยู่ข้างในลงก่อนเสมอ แล้วเราค่อยขึ้นรถ ห้ามวิ่งกระโดดขึ้นรถไฟตอนประตูกำลังจะปิดเด็ดขาด เพราะอันตรายมาก

มารยาทบนรถไฟ (สำคัญมาก!)

ภายในรถไฟญี่ปุ่นจะเงียบมาก เพื่อการเดินทางที่สบายใจของทุกคน ควรปฏิบัติตามมารยาทเหล่านี้:

  • การสนทนา: งดการพูดคุยเสียงดัง หากคุยกับเพื่อนให้ใช้เสียงเบาๆ
  • โทรศัพท์: ตั้งค่าเป็นโหมดสั่น และ ห้ามคุยโทรศัพท์โดยเด็ดขาด
  • การรับประทานอาหาร: โดยทั่วไปจะไม่ทานอาหารหรือเครื่องดื่มบนรถไฟ (ยกเว้นรถไฟทางไกลอย่าง Shinkansen หรือ Limited Express)
  • กระเป๋าเป้: ในช่วงเวลาเร่งด่วนที่คนแน่น ควรสลับเป้มาอุ้มไว้ด้านหน้า หรือวางไว้บนชั้นวางของเหนือศีรษะ
  • ที่นั่งสำรอง (Priority Seats): เป็นที่นั่งสำหรับผู้สูงอายุ, ผู้พิการ, หญิงมีครรภ์ และผู้ที่มากับเด็กเล็ก หากเราไม่ได้มีความจำเป็น ควรหลีกเลี่ยงการนั่ง หรือลุกให้ทันทีเมื่อเห็นคนที่มีความจำเป็นต้องการที่นั่ง

การลงจากรถไฟ:

คอยสังเกตจอแสดงผลเหนือประตูรถไฟหรือฟังเสียงประกาศ เพื่อดูสถานีถัดไป เมื่อใกล้ถึงสถานีที่จะลง ให้ขยับไปรอใกล้ๆ ประตู

5. ถ้าเกิดปัญหา…จะทำอย่างไรดี?

  • นั่งเลยสถานี!: ไม่ต้องตกใจ! แค่ลงที่สถานีถัดไป แล้วเดินไปขึ้นรถไฟฝั่งตรงข้ามเพื่อย้อนกลับมา
  • เงินในบัตร IC ไม่พอ: ประตูตรวจตั๋วที่สถานีปลายทางจะไม่เปิดให้คุณออก ให้เดินไปที่ “เครื่องปรับค่าโดยสาร (Fare Adjustment Machine)” ที่อยู่ใกล้ๆ แล้วเติมเงินเข้าไปในบัตรก็เรียบร้อย
  • ไม่ไหวแล้ว งงไปหมด!: ทุกสถานีจะมีนายสถานีอยู่เสมอ เดินเข้าไปแล้วพูดว่า “สุมิมาเซ็น (Sumimasen)” (ขอโทษนะคะ/ครับ) พวกเขาพร้อมจะช่วยเหลืออย่างใจดีแน่นอนค่ะ

บทสรุป

เป็นอย่างไรบ้างคะ? ตอนแรกอาจจะรู้สึกว่ามีกฎเยอะไปหน่อย แต่เชื่อเถอะว่าถ้าได้ลองทำดูครั้งหนึ่งแล้วจะชินไปเองอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ “บัตร IC” คือบัตรวิเศษที่จะทำให้การเที่ยวญี่ปุ่นของคุณสะดวกสบายขึ้น 10 เท่า

เมื่อไปถึงญี่ปุ่นแล้ว อย่าลืมหาซื้อบัตร IC เป็นอย่างแรก แล้วเริ่มต้นการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถไฟอย่างมืออาชีพได้เลย รับรองว่ารถไฟจะพาคุณไปสำรวจทุกซอกทุกมุมของญี่ปุ่นได้อย่างแน่นอน!

Total
0
Shares