สวัสดีค่า! นักท่องเที่ยวชาวไทยที่กำลังวางแผนไปเที่ยวญี่ปุ่นทุกคน!
สำหรับใครที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกแล้วยังสับสนว่าจะไปที่ไหนดี? ถ้าคำตอบคือ “ใช่” ล่ะก็ เส้นทางที่คุณห้ามพลาดเด็ดขาดเลยก็คือ “Golden Route” (โกลเด้นรูท) ค่ะ!
Golden Route คือเส้นทางท่องเที่ยวยอดนิยมสุดคลาสสิกที่เชื่อมระหว่าง 3 เมืองใหญ่ของญี่ปุ่น ได้แก่ โตเกียว (Tokyo), เกียวโต (Kyoto), และ โอซาก้า (Osaka) ซึ่งเป็นเส้นทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้คุณได้สัมผัสเสน่ห์อันหลากหลายของญี่ปุ่นในทริปเดียว! ทั้งความตื่นตาตื่นใจของมหานครแห่งอนาคต, ความสงบงามของเมืองหลวงเก่า และความคึกคักของเมืองแห่งของอร่อยที่ละลานตา
หลายคนอาจจะกังวลว่า “แต่จะให้วางแผนเองก็ดูยุ่งยากจัง…” หรือ “ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเลย จะเที่ยวลำบากรึเปล่า?” ไม่ต้องเป็นห่วงไปนะคะ! เพราะบทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลล่าสุดของปี 2025 มาเพื่อนักท่องเที่ยวชาวไทยโดยเฉพาะ ตั้งแต่เสน่ห์ของเส้นทาง Golden Route, แพลนเที่ยวตัวอย่าง 8 วัน 7 คืนแบบละเอียด ไปจนถึงเคล็ดลับการเดินทางต่างๆ
อ่านจบแล้วรับรองว่าคุณจะกลายเป็นเซียนเที่ยวญี่ปุ่น! เตรียมตัวไปสร้างความทรงจำที่ดีที่สุดกันได้เลย!
ทำไมต้อง Golden Route? เจาะลึกเสน่ห์ของทั้ง 3 เมือง!
ก่อนอื่นเรามาดูกันดีกว่าว่าแต่ละเมืองมีเสน่ห์อะไรที่น่าดึงดูดใจบ้าง
โตเกียว (Tokyo) – สัมผัสมหานครสุดล้ำ ศูนย์รวมแห่งปัจจุบันของญี่ปุ่น
โตเกียว เมืองหลวงของญี่ปุ่น คือศูนย์รวมของทุกความล้ำสมัย มีความคึกคักและเปี่ยมด้วยพลังงานคล้ายกับกรุงเทพฯ แต่ก็มีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นโตเกียวสกายทรี® (Tokyo Skytree®) ที่ให้คุณชมวิวเมืองจากความสูง 450 เมตร, ห้าแยกชิบูย่า (Shibuya Scramble Crossing) ที่มีผู้คนเดินข้ามกว่า 500,000 คนต่อวัน, ร้านอาหารอร่อยๆ จากทั่วทุกมุมโลก และยังเป็นสวรรค์ของนักช้อปที่มีทั้งแฟชั่นล่าสุดและสินค้าอนิเมะให้เลือกซื้อหา
ในขณะเดียวกัน โตเกียวก็ยังมีมุมสงบให้คุณได้พักหายใจจากความวุ่นวาย เช่น วัดเซ็นโซจิ (Senso-ji) ในย่านอาซากุสะ (Asakusa) ที่ยังคงกลิ่นอายของเมืองเก่า หรือสวนสาธารณะชินจูกุเกียวเอน (Shinjuku Gyoen) อันร่มรื่น ประสบการณ์สุดพิเศษที่ผสมผสานวัฒนธรรมเก่าและใหม่กำลังรอคุณอยู่
เกียวโต (Kyoto) – เสน่ห์เมืองหลวงเก่าอันงดงาม สัมผัสวัฒนธรรมดั้งเดิม
จากโตเกียว นั่งรถไฟชินคันเซ็นประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง คุณจะรู้สึกเหมือนได้หลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่ง เกียวโต อดีตเมืองหลวงของญี่ปุ่น ก็เปรียบเสมือนจังหวัดอยุธยาของไทยเรา เป็นเมืองที่งดงามและเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ยังคงมีชีวิตชีวา
ไม่ว่าจะเป็นวัดคิโยมิสุเดระ (Kiyomizu-dera) หรือ “วัดน้ำใส” ที่มีระเบียงไม้อันโด่งดัง, ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Taisha) ที่มีเสาโทริอิสีแดงสดทอดยาวสุดลูกหูลูกตา หรือย่านกิออน (Gion) ที่มีถนนหินโบราณสุดคลาสสิก แค่ได้เดินชมเมืองก็รู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลา หากได้ลองเช่าชุดกิโมโนสวยๆ เดินเล่นในเมือง รับรองว่าจะฟินสุดๆ! การได้แวะพักจิบชาเขียวมัทฉะกับขนมอร่อยๆ ก็เป็นอีกหนึ่งความสุขในแบบฉบับของเกียวโต ถ้าคุณอยากสัมผัสความงามอันเงียบสงบของญี่ปุ่น เกียวโตคือเมืองที่ต้องไปให้ได้
โอซาก้า (Osaka) – เมืองแห่งการกินจนตัวแตก! เปี่ยมด้วยมิตรไมตรีและความมีชีวิตชีวา
จากเกียวโต นั่งรถไฟเพียง 30 นาที คุณก็จะมาถึงโอซาก้า เมืองที่เปี่ยมด้วยพลังและผู้คนที่เป็นมิตร ซึ่งแตกต่างจากเกียวโตอย่างสิ้นเชิง ที่นี่เป็นขุมทรัพย์ของของอร่อยราคาถูก สมกับคำว่า “คุยดาโอเระ” (Kuidaore) ที่แปลว่า “กินจนล้มละลาย” เลยทีเดียว! ทั้งทาโกยากิ, โอโคโนมิยากิ (พิซซ่าญี่ปุ่น), คุชิคัตสึ (ของทอดเสียบไม้) และอีกมากมายที่ต้องลองให้ได้
การไปถ่ายรูปท่าเดียวกับป้ายกูลิโกะ (Glico Running Man) ขนาดใหญ่ที่ย่านโดทงโบริ (Dotonbori) ถือเป็นกิจกรรมยอดฮิตที่ใครๆ ก็ทำกัน หรือจะไปสนุกสุดเหวี่ยงทั้งวันที่ Universal Studios Japan (USJ) ก็เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม นอกจากนี้ ปราสาทโอซาก้าอันยิ่งใหญ่ และย่านชินเซไก (Shinsekai) ที่ให้บรรยากาศแบบเรโทรก็มีเสน่ห์ไม่แพ้กัน เป็นทริปที่จะทำให้คุณอิ่มทั้งท้อง อิ่มทั้งใจ ไปกับความอบอุ่นของผู้คน
พื้นฐานการวางแผนเที่ยว! ไปเมื่อไหร่ดี? เดินทางยังไง?
ฤดูไหนดีที่สุด?
ญี่ปุ่นมี 4 ฤดูที่สวยงามแตกต่างกันไป ช่วงที่นักท่องเที่ยวชาวไทยนิยมไปมากที่สุดก็คือ ปลายเดือนมีนาคม – ต้นเดือนเมษายน ที่มีดอกซากุระบานสะพรั่ง และ กลางเดือนพฤศจิกายน – ต้นเดือนธันวาคม ที่มีใบไม้เปลี่ยนสีสวยงาม แต่ต้องจำไว้ว่าช่วงนี้เป็นฤดูท่องเที่ยวที่คึกคักที่สุด ทำให้ค่าตั๋วเครื่องบินและโรงแรมจะสูงมาก
หากคุณอยากหลีกเลี่ยงฝูงชน ช่วงเดือนพฤษภาคมและตุลาคมก็เป็นตัวเลือกที่ดีมาก เพราะอากาศดีและเย็นสบาย ส่วนฤดูร้อน (ก.ค. – ส.ค.) จะร้อนและชื้นคล้ายกับประเทศไทย และฤดูหนาว (ธ.ค. – ก.พ.) แม้ในโตเกียวหิมะจะตกไม่บ่อย แต่สำหรับคนไทยถือว่าอากาศหนาวมาก จึงต้องเตรียมเสื้อกันหนาวหนาๆ ไปให้พร้อม
ต้องใช้เวลากี่วัน?
เพื่อให้เที่ยวครบทั้ง 3 เมืองได้อย่างเต็มที่ ควรมีเวลาอย่างน้อย 8 วัน 7 คืน (รวมวันเดินทาง) แต่ถ้าอยากเที่ยวแบบสบายๆ ไม่เร่งรีบ หรือมีเวลาช้อปปิ้งเยอะๆ การมีเวลา 10 วัน 9 คืน จะดีที่สุดค่ะ
เที่ยวบินไปญี่ปุ่น
จากกรุงเทพฯ ทั้งสนามบินสุวรรณภูมิ (BKK) และดอนเมือง (DMK) มีเที่ยวบินตรงไปยังโตเกียว (สนามบินนาริตะ NRT หรือ ฮาเนดะ HND) และโอซาก้า (สนามบินคันไซ KIX) อยู่หลายสายการบิน มีให้เลือกทั้งสายการบิน Full Service เช่น JAL, ANA, การบินไทย และสายการบินราคาประหยัด (LCC) เช่น AirAsia และ ZIPAIR ซึ่งสามารถเลือกได้ตามงบประมาณของคุณ
การเดินทางระหว่างเมืองทำอย่างไร?
การเดินทางจากโตเกียวไปเกียวโต และเกียวโตไปโอซาก้า วิธีที่สะดวกและรวดเร็วที่สุดคือ รถไฟชินคันเซ็น (Shinkansen)
Japan Rail Pass (JR Pass) เคยเป็นไอเทมที่จำเป็นสำหรับนักท่องเที่ยว แต่หลังจากมีการปรับขึ้นราคาครั้งใหญ่ในเดือนตุลาคม 2023 ทำให้ในปัจจุบัน การเดินทางแค่เส้นทาง Golden Route ไป-กลับ อาจไม่คุ้มค่าอีกต่อไป ขอแนะนำให้ตรวจสอบราคาในเว็บไซต์ทางการของ JR Pass และเปรียบเทียบกับราคาตั๋วรายเที่ยวผ่าน Google Maps หรือแอปอื่นๆ ก่อนเดินทาง ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว การซื้อตั๋วชินคันเซ็นแยกเป็นเที่ยวๆ จะมีราคาถูกกว่า
【ฉบับสมบูรณ์】แพลนเที่ยว Golden Route 8 วัน 7 คืน เที่ยวครั้งแรกก็ไม่หลง!
มาถึงส่วนสำคัญแล้วค่ะ! นี่คือตัวอย่างแพลนเที่ยวที่คุณสามารถนำไปปรับเปลี่ยนให้เข้ากับความสนใจของตัวเองได้อย่างอิสระเลยนะคะ
【วันที่ 1】Welcome to Japan! ประทับใจกับวิวกลางคืนที่ชินจูกุ โตเกียว
- เช้า/บ่าย: เดินทางถึงโตเกียว (สนามบินนาริตะ หรือ ฮาเนดะ) รับซิมการ์ดหรือ Pocket Wi-Fi ที่สนามบิน แล้วนั่งรถไฟ (Narita Express, Keisei Skyliner หรือ Keikyu Line) เข้ามาที่สถานีชินจูกุ
- เย็น: เช็คอินเข้าโรงแรม จากนั้นไปเดินเล่นพักผ่อนที่สวนสาธารณะชินจูกุเกียวเอน โอเอซิสใจกลางเมือง
- กลางคืน: ขึ้นไปชมวิวฟรีที่อาคารศาลาว่าการกรุงโตเกียว (Tokyo Metropolitan Government Building) รับรองว่าจะต้องทึ่งกับแสงไฟยามค่ำคืนของโตเกียว! มื้อค่ำลองไปที่ตรอกโอโมอิเดะ โยโกโช (Omoide Yokocho) ชิมยากิโทริ (ไก่ย่างเสียบไม้) ในร้านเล็กๆ สัมผัสบรรยากาศแบบมนุษย์เงินเดือนญี่ปุ่น
【วันที่ 2】สัมผัส “ความดั้งเดิม” และ “ความล้ำสมัย” ของโตเกียว
- เช้า: ไปวัดเซ็นโซจิ (วัดอาซากุสะ) ลอดโคมแดงยักษ์ (ประตูคามินาริมง) และเดินชิมขนมอร่อยๆ เช่น นินเงียวยากิ หรืออาเกะมันจู ที่ถนนนากามิเสะ การเช่าชุดกิโมโนเดินเล่นแถวนี้ก็เป็นความทรงจำที่ดีสุดๆ
- บ่าย: เดินทางไปชิบูย่า ขึ้นไปชมวิว 360 องศาและห้าแยกชิบูย่าอันโด่งดังจากมุมสูงที่ SHIBUYA SKY หลังจากนั้นลองลงไปเดินข้ามแยกดูด้วยตัวเอง รับรองว่าจะทึ่งกับจำนวนคนที่เยอะมากๆ!
- เย็น: เดินเล่นที่ถนนทาเคชิตะ (Takeshita Street) ย่านฮาราจูกุ ศูนย์รวมวัยรุ่น ลองชิมเครปญี่ปุ่น หรือแวะดูร้านขายของน่ารักๆ
【วันที่ 3】เพลิดเพลินกับ “อาหาร” และ “วัฒนธรรมเฉพาะกลุ่ม” ของโตเกียว
- เช้า: ไปหาอาหารเช้าทะเลสดๆ ที่ตลาดปลาซึกิจิ (ด้านนอก) มีของอร่อยมากมายทั้งไข่หวานย่างร้อนๆ หอยนางรมสดๆ และข้าวหน้าทะเล
- บ่าย: ถ้าคุณชอบอนิเมะหรือเกม ต้องไปที่อากิฮาบาระ (Akihabara) เพื่อสัมผัสศูนย์กลางวัฒนธรรม “โอตาคุ” ของญี่ปุ่น ทั้งฟิกเกอร์ เกม และเมดคาเฟ่ แต่ถ้าไม่สนใจ สามารถไปเดินห้างหรูที่กินซ่า (Ginza) หรือดื่มด่ำกับศิลปะดิจิทัลสุดล้ำที่ teamLab Borderless (Azabudai Hills) ก็เป็นตัวเลือกที่ดี
- (ตัวเลือกเสริม): สำหรับแฟนคลับ Ghibli พิพิธภัณฑ์จิบลิ (Ghibli Museum) ที่มิตากะก็เป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม (ต้องจองตั๋วล่วงหน้าเท่านั้น)
【วันที่ 4】นั่งชินคันเซ็นสู่เมืองเก่าเกียวโต เดินชมเสน่ห์ยามค่ำคืนที่กิออน
- เช้า: จากสถานีโตเกียว นั่งรถไฟชินคันเซ็นมุ่งหน้าสู่เกียวโต (ใช้เวลาประมาณ 2.5 ชั่วโมง) การซื้อ “เอกิเบ็น” (ข้าวกล่องรถไฟ) ขึ้นไปทานบนรถไฟก็เป็นอีกหนึ่งความสนุกสไตล์ญี่ปุ่น
- บ่าย: ถึงสถานีเกียวโต ฝากกระเป๋าที่โรงแรม แล้วออกไปเที่ยวกันเลย! มุ่งหน้าไปยังย่านกิออน (Gion) เพื่อชมความงามของถนนฮานามิโคจิ (Hanamikoji) และศาลเจ้ายาซากะ (Yasaka Shrine) ถ้าโชคดีอาจจะได้เจอกับไมโกะหรือเกอิชาตัวจริงด้วย!
- กลางคืน: ทานอาหารเย็นเป็น “เคียวริวริ” (อาหารเกียวโตดั้งเดิม) ที่ย่านพอนโตโจ (Pontocho) ซึ่งมีร้านอาหารบรรยากาศดีเรียงรายอยู่ริมแม่น้ำคาโมะ
【วันที่ 5】ตะลุยแหล่งมรดกโลกในเกียวโต
- เช้า: ไปยังไฮไลท์ของการเที่ยวเกียวโต วัดคิโยมิสุเดระ (วัดน้ำใส) วิวจาก “ระเบียงไม้” อันโด่งดังนั้นงดงามจนต้องตะลึง! ตลอดทางเดินขึ้นวัด (ถนนนิเน็นซากะและซันเน็นซากะ) ก็มีร้านขายของที่ระลึกและคาเฟ่มากมายให้เดินเพลินๆ
- บ่าย: นั่งรถไฟไปศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ ความงามของ “เซ็มบงโทริอิ” หรือเสาโทริอิสีแดงสดนับพันต้นที่เรียงรายกันเป็นอุโมงค์นั้นงดงามจนแทบลืมหายใจ ถ่ายรูปมุมไหนก็สวย การเดินให้ครบรอบอาจใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง สามารถเดินแค่ช่วงต้นแล้วกลับออกมาก็ได้
【วันที่ 6】ชมวิวสุดงดงามที่อาราชิยามะ แล้วไปกินแหลกที่โอซาก้า!
- เช้า: ไปยังพื้นที่ฝั่งตะวันตกของเกียวโตที่อาราชิยามะ (Arashiyama) ชมสวนสวยของวัดเท็นริวจิ (Tenryuji Temple) และเดินเล่นในเส้นทางป่าไผ่ (Bamboo Grove) ที่มีชื่อเสียง บรรยากาศที่ร่มรื่นและดูลึกลับจะช่วยเยียวยาจิตใจได้ดี อย่าลืมไปชมวิวที่สะพานโทเง็ตสึเคียว (Togetsukyo Bridge) ด้วยนะ
- บ่าย: จากสถานีเกียวโต นั่งรถไฟ JR Special Rapid Service เพียง 30 นาทีก็ถึงสถานีโอซาก้า เช็คอินโรงแรมแล้วมุ่งหน้าสู่ย่านที่คึกคักที่สุดของโอซาก้าอย่างโดทงโบริและชินไซบาชิ!
- กลางคืน: ตื่นตาตื่นใจไปกับแสงสีนีออนสุดอลังการ ทั้งป้ายกูลิโกะ ป้ายปูยักษ์ที่ร้านคานิโดราคุ และอีกมากมาย! มื้อค่ำต้องจัดเต็มด้วยทาโกยากิและโอโคโนมิยากิรสชาติต้นตำรับเท่านั้น!
【วันที่ 7】สนุกให้สุดเหวี่ยงในโอซาก้า! (เลือก USJ หรือเที่ยวในเมือง)
- แพลน A (สำหรับคนชอบสวนสนุก): สนุกสุดเหวี่ยงทั้งวันที่ Universal Studios Japan (USJ) โดยเฉพาะโซน “Super Nintendo World™” เป็นโซนที่ห้ามพลาดเด็ดขาด
- แพลน B (สำหรับสายเที่ยวในเมือง): ชมวิวจากยอดปราสาทโอซาก้า จากนั้นไปเดินเล่นย่านชินเซไกที่ให้บรรยากาศแบบเรโทร ขึ้นไปชมวิวบนหอคอยซึเทนคาคุ (Tsutenkaku Tower) และลิ้มลองของขึ้นชื่ออย่างคุชิคัตสึ (จำไว้ว่า “ห้ามจิ้มซอสซ้ำสองครั้งนะ!”) ตกกลางคืนไปชมวิวสุดโรแมนติกที่ตึกอุเมดะสกาย (Umeda Sky Building)
【วันที่ 8】ลาก่อนญี่ปุ่น! แล้วพบกันใหม่
- ใช้เวลาที่เหลือก่อนเดินทางไปสนามบิน ช้อปปิ้งของฝากครั้งสุดท้ายที่สถานีรถไฟหรือชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้า (ที่เรียกว่า เดปาจิกะ)
- เดินทางจากสนามบินนานาชาติคันไซ (KIX) กลับสู่กรุงเทพฯ ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพพร้อมความทรงจำที่แสนสนุกนะคะ!
TIPS สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย
- อาหาร: ร้านราเมนยอดนิยมหลายแห่งใช้ระบบซื้อตั๋วจากตู้ขายอัตโนมัติ หากไม่เข้าใจสามารถสอบถามพนักงานได้เลยค่ะ หากต้องการหาร้านที่มีเมนูภาษาไทย ลองใช้เว็บไซต์ค้นหาร้านอาหารอย่าง “Gurunavi” หรือ “Hot Pepper” ซึ่งรองรับหลายภาษา
- อินเทอร์เน็ต: Wi-Fi ฟรีในญี่ปุ่นยังหาได้ค่อนข้างยาก การเช่า Pocket Wi-Fi จากสนามบิน หรือซื้อซิมสำหรับนักท่องเที่ยว (eSIM สะดวกมาก) ไปล่วงหน้าจึงเป็นสิ่งจำเป็น
- ถังขยะ: ในญี่ปุ่นหาถังขยะตามท้องถนนได้ยากมากจริงๆ แนะนำให้พกถุงเล็กๆ ที่ได้จากร้านสะดวกซื้อติดตัวไว้สำหรับใส่ขยะ แล้วนำกลับไปทิ้งที่โรงแรม จะสะดวกที่สุดค่ะ
บทสรุป
เส้นทาง Golden Route คือการเริ่มต้นที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับการมาเยือนญี่ปุ่นครั้งแรก เป็นการเดินทางที่ให้คุณได้สัมผัสทุกรสชาติของญี่ปุ่นในทริปเดียว หวังว่าคู่มือนี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้การวางแผนเที่ยวญี่ปุ่นของคุณง่ายและสนุกยิ่งขึ้นนะคะ ขอให้มีความสุขกับการเดินทางค่ะ!