หนึ่งในอาหารที่มาญี่ปุ่นแล้วต้องกินก็น่าจะมีโอโคโนมิยากิอยู่ในลิสต์ด้วย เพราะเป็นอาหารที่ชาวคันไซภาคภูมิใจ แต่ถึงจะอยู่ในภูมิภาคคันไซเหมือนกัน แค่จังหวัดแตกต่างกันก็สูตรไม่เหมือนกันแล้ว อธิบายง่าย ๆ ก็เหมือนขนมจีนน้ำเงี้ยวเชียงใหม่กับเชียงราย เพราะฉะนั้นวันนี้เราก็เลยอยากมาแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกับโอโคโนมิยากิแบบโอซาก้าและแบบฮิโรชิม่า ทริปญี่ปุ่นครั้งนี้จะได้หาร้านเด็ดเตรียมไว้ก่อน
อาหารที่สะท้อนประวัติศาสตร์และความเป็นอยู่
ถ้าพูดถึงโอโคโนมิยากิ หลายคนก็คงนึกถึงภาพกลุ่มเพื่อนหรือครอบครัวกำลังนั่งฉลองเฮฮากันอยู่หน้าเตา แต่ที่จริงแล้วที่มาของโอโคโนมิยากินั้นสามารถบอกอะไรได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นส่วนผสมที่ถูกใช้เพราะสภาวะขาดแคลนอาหารจากสงคราม รูปแบบของโอโคโนมิยากิที่แตกต่างเพราะการใช้ชีวิตของผู้คนในยุคสมัยนั้น ๆ
โอโคโนมิยากินั้นพัฒนามาจากของกินเล่นของเด็ก ๆ ในยุคเอโดะ (ครั้งหน้าเราจะมาเล่าให้ฟังอีกที) เมื่อมาถึงยุคโชวะที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น ทำให้ญี่ปุ่นตกอยู่ในสภาวะข้าวยากหมากแพง อาหารหลักอย่างข้าวก็ขาดแคลน ทำให้ญี่ปุ่นเลือกใช้แป้งที่ได้รับการสนับสนุนจากชาติตะวันตกมาเป็นอาหารหลัก และเริ่มคิดค้นอาหารหลักที่ใช้ส่วนผสมจากแป้ง
เมื่อข้าวแพงแล้ว ผักผลไม้ก็กลายเป็นของราคาแพงเช่นกัน แม้แต่ต้นหอมที่ใช้ในอาหารญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ก็กลายเป็นของแพงไปด้วย กะหล่ำปลีที่ปลูกง่าย ราคาถูกกว่า และปริมาณเยอะ อิ่มท้อง ก็ถูกเลือกใช้เป็นส่วนผสมหลักในโอโคโนมิยากิ เมื่อแป้ง กะหล่ำปลี น้ำ ถูกนำมาผสมกัน ก็ได้แหล่งพลังงานหลักแล้ว ส่วนเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ก็ใส่ตามแต่ที่แต่ละครัวเรือนจะหามาได้
แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป โอโคโนมิยากิก็ถูกนำมาปรับแต่งให้น่าสนใจกว่าเดิม มีเครื่องเคียงให้เลือกมากขึ้น ร้านที่เสิร์ฟเป็นชุดพร้อมเนื้อสัตว์ผัดสไตล์เทปันยากิก็มี หรือบริษัทขนมที่หยิบเอาโอโคโนมิยากิไปเป็นทำเป็นขนมรสชาติลิมิเต็ดเฉพาะโอซาก้าให้กลายเป็นของฝากที่ใคร ๆ ก็ต้องซื้อกลับบ้าน จากอาหารหลักยุคสงครามก็กลายมาเป็นเอกลักษณ์ของเมืองที่ทุกคนภาคภูมิใจ
โอซาก้า: แป้งหนานุ่ม กินแล้วอิ่มไปทั้งวัน ทำเองที่บ้านได้ง่าย
ถ้าคนโอซาก้าถูกถามว่าบ้านเกิดตัวเองมีอะไร ส่วนใหญ่ก็คงจะตอบว่าทาโกะยากิและโอโคโนมิยากิ เราก็เลยอยากให้ทุกคนได้รู้จักโอโคโนมิยากิแบบโอซาก้ากันก่อน ด้วยความที่คนโอซาก้าเป็นคนสบาย ๆ ง่าย ๆ โอโคโนมิยากิแบบโอซาก้าจึงทำง่ายสุด ๆ ด้วยการผสมแป้ง กะหล่ำปลีซอยแบบไม่ต้องละเอียดมาก และเนื้อสัตว์ลงไปในชามเดียวกัน ตีให้เข้ากันแล้วเทลงกระทะเป็นรูปทรงกลม ๆ หนา ๆ คล้ายแพนเค้ก นั่งเล่นคุยกันสักพักรอให้แป้งสุกก็ราดซอส แต่งหน้าด้วยมายองเนส โรยสาหร่ายและปลาแห้งก็พร้อมกิน ใครชอบแบบแป้งหนานุ่ม กินง่าย เน้นกินกับอาหารอื่น ๆ อีกหลายอย่างก็ต้องแบบโอซาก้าเลย
ด้วยส่วนผสมและวิธีทำที่ง่าย โอโคโนมิยากิแบบโอซาก้าจึงสามารถทำกินเองได้ที่บ้าน โดยส่วนผสมสามารถหาได้ง่ายระดับที่ร้านสะดวกซื้อก็มีแป้งและซอสโอโคโนมิยากิขาย แค่มีกระทะที่บ้าน จะจัดปาร์ตี้วันไหนก็ได้
ฮิโรชิม่า: แป้งบาง ซ้อนกันเป็นชั้น มีเส้น แถมพิเศษไข่ดาว
ใครชอบแบบกรอบ ๆ นัว ๆ หวานเค็ม จานเดียวจบเราแนะนำให้มาทางนี้ โอโคโนมิยากิแบบฮิโรชิม่านั้นจะคล้ายเครปเพราะแผ่นบาง และกะหล่ำปลีที่ใช้จะเป็นกะหล่ำปลีซอยที่เส้นเล็กกว่า ส่วนผสมจะไม่ถูกผสมรวมกันหมดแล้วราดลงบนกระทะทีเดียวแบบโอซาก้า แต่จะซ้อนกันเป็นชั้นแยกกันแบบชัดเจน เส้น แป้งและกะหล่ำปลี เนื้อสัตว์ พิเศษเพิ่มไข่ดาวก็ได้ ปิดท้ายด้วยราดซอสหวานแบบฮิโรชิม่า ซึ่งแบบดั้งเดิมจะไม่มีการใส่มายองเนสเพิ่ม แต่ถ้าใครชอบก็ใส่เพิ่มได้ ด้วยวิธีการทำก็ยากกว่าแบบโอซาก้า ซึ่งแต่ละขั้นตอนถ้าทำเองที่บ้านจะมีโอกาสอกหักสูงมาก ทำให้คนส่วนใหญ่จึงเลือกไปกินที่ร้านกันมากกว่า
เหตุผลที่โอโคนิมิยากิของฮิโรชิม่านั้นแป้งบางกว่าเพราะหลังจากเหตุการณ์ทิ้งระเบิดปรมาณู ฮิโรชิม่าต้องเผชิญกับสภาวะอาหารขาดแคลน แป้งกลายเป็นของหายากและแพง แต่ถ้าแป้งบางเกินไปจะอิ่มได้ยังไงกัน ผู้คนจึงนำเส้นบะหมี่แบบจีนมาใส่ลงไปในโอโคโนมิยากิด้วย ทำให้กลายเป็นโอโคโนมิยากิใส่เส้นแบบฮิโรชิม่าที่เรารู้จักกัน หรือบางที่ก็มีตัวเลือกให้สั่งข้าวเพิ่มมากินด้วย
นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าต่อกันมาว่าร้านโอโคโนมิยากิที่ฮิโรชิม่านั้นมักจะใช้ชื่อผู้หญิงเป็นชื่อร้าน นั่นก็เป็นเพราะส่วนใหญ่หญิงที่เป็นหม้ายจากสงครามมักจะเปิดร้านโอโคโนมิยากิที่บ้านเพื่อหารายได้หลังจากที่สูญเสียสามีไป ซึ่งนับเป็นเกร็ดเล็ก ๆ ที่น่าเศร้าจากยุคสงครามเช่นกัน
ศึกชิงการเป็นต้นตำรับของโอโคโนมิยากิ
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คนโอซาก้าและคนฮิโรชิม่าก็ยังถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อนยิ่งกว่าซอสราดโอโคโนมิยากิของฝั่งโอซาก้าว่าใครกันแน่ที่เป็นต้นตำรับอาหารจานนี้
ในโอซาก้า โอโคโนมิยากิถือเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอาหาร โคะโนมง ที่เป็นอาหารจานแป้งและชาวโอซาก้าก็ผูกพันกับอาหารสไตล์นี้มาก ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่อาหารที่ส่วนผสมหลักมาจากแป้งทั้งสิ้น ส่วนทางฮิโรชิม่าก็มีโอโคโนมิยากิในแบบฉบับของตัวเองที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยสงครามเหมือนกัน การถกเถียงว่าแบบไหนอร่อยกว่ากัน ใครเป็นต้นตำรับกันแน่ ก็เลยไม่มีวันสิ้นสุด
จากการสำรวจในเดือนตุลาคมปี 2023 ของบริษัทโอตาฟุกุ หรือที่รู้จักกันดีในนามของบริษัทผลิตซอสโอโคโนมิยากิเจ้าดัง ที่ทำการสำรวจในกลุ่มคนโตเกียว คนโอซาก้า และคนฮิโรชิม่าเกี่ยวกับโอโคโนมิยากิด้วยคำถามที่ว่า ‘ถ้าให้นึกถึงโอโคโนมิยากิ ภาพที่เข้ามาในหัวเป็นโอโคโนมิยากิแบบไหน’ แน่นอนว่าทั้งคนโอซาก้าและคนฮิโรชิม่าตอบว่าเห็นภาพโอโคโนมิยากิแบบบ้านเกิดของตัวเอง เห็นได้ชัดเจนเลยว่าทุกคนมีภาพจำชัดเจน ดังนั้น การสำรวจครั้งนี้เลยมีการถามคนโตเกียวด้วย ซึ่งคนโตเกียว 33.5% บอกว่าเป็นแบบโอซาก้า และเพียง 17.5% เท่านั้นที่บอกว่าเป็นแบบฮิโรชิม่า ส่วนอีก 38.9% บอกว่าก็มีภาพเข้ามาในหัวทั้งสองแบบนะ
มีเกร็ดสนุก ๆ จากรายการวาไรตี้ทีวีที่น่าสนใจว่าคนโอซาก้านี่มันคนโอซาก้าจริง ๆ เพราะพวกเขาไม่นับโอโคโนมิยากิแบบฮิโรชิม่าให้เป็นโอโคโนมิยากิ แต่ตั้งชื่อใหม่ให้ว่า โมดานยากิ แทน ดังนั้นจะมาเป็นโอโคโนมิยากิเหมือนกันไม่ได้ ทำให้เห็นว่าการที่ชาวท้องถิ่นรักและภูมิใจในวัฒนธรรมของบ้านเกิดตัวเองนั้นเรียกได้ว่าเป็นลักษณะเฉพาะของคนญี่ปุ่น
แล้วคุณล่ะ ลองทั้งสองแบบแล้วหรือยัง ชอบโอโคโนมิยากิแบบไหนก็มาบอกกันด้วยนะ
ที่มา